my site my site

MILLย้ำยอดขายปีนี้2.5หมื่นล้าน ปริมาณการขายเหล็กตามนัด 1.4 ล้านตัน

“มิลล์คอน” มั่นใจปีนี้โกยยอดขาย 25,000 ล้านบาท ขานรับปริมาณการขายเหล็กตามนัด 1.4 ล้านตัน ส่วนผลงาน Q4 คาดกำไรจากการดำเนินงานโต หลังบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และ“โคเบลโก้ฯ” เริ่มมีกำไร

 

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง รักษาการประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า แนวโน้ม ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2561 บริษัท คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะเติบโตต่อ เนื่องจากไตรมาส 3/2561 เนื่องจากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับรักษามาร์จิ้นให้อยู่ระดับที่เหมาะสม โดยจะพยายามไม่ให้เกิดความเสี่ยงในแง่ของวัตถุดิบ ด้วยการซื้อมาแล้วขายไปทันที ประกอบกับส่วนใหญ่บริษัทจะสต๊อกสินค้าไม่เกิน 1 เดือน ส่งผลให้ไม่เกิดปัจจัยความเสี่ยง

 

ขณะที่ในงวดไตรมาส 4/2561 บริษัท โคเบลโก้ มิลล์คอน สตีล จำกัด (KMS) ซึ่งบริษัทร่วมลงทุนที่ MILL ถือหุ้นสัดส่วน 50% จะเริ่มพลิกกลับมาเป็นกำไร ซึ่ง KMS ดำเนินธุรกิจผลิตเหล็กเกรดพิเศษ เพื่อส่งให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่ง ระยะแรกส่งสินค้าตัวอย่างให้กับลูกค้าทดลองโดยงวดไตรมาส 2-3/2561 ได้ส่งสินค้าให้กับลูกค้าบ้างแล้ว

 

ดังนั้นประเมินว่าภาพรวมผลประกอบการทั้งปี 2561 คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ระดับ 25,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมี ปริมาณการขายเหล็กอยู่ที่ระดับ 1.4 ล้านตัน  เป็นผลมาจากการขยายตัวของงานก่อสร้างของภาครัฐ และเครือข่ายของบริษัทมีการขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดต่อเนื่อง

 

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 2562  จะเห็นทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก KMS เริ่มมีกำไรแล้วและบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากบริษัท สยามโซล่าร์ เจนเนเรชั่น จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจโซลาร์ ฟาร์มที่จังหวัดชัยภูมิ ขนาดกำลังการผลิต 22 เมกะวัตต์ (MW) โดยได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วคาดว่าจะรับรู้รายได้ปีละประมาณ 200 ล้านบาท และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าคงเหลืออีกจำนวนมาก เพราะได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เพียง 2-3 ปี

 

นอกจากนี้ในปี 2562 บริษัทจะผลิตเหล็กเกรดพิเศษประมาณ 30% ของยอด ผลิตเหล็กรวมเพื่อเพิ่มมูลค่า และรองรับความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องโดยเหล็กดังกล่าวจะอยู่ในยานยนต์ เช่น สายเบรก สายคลัตช์ หรือสายต่าง ๆ ในเครื่องยนต์ เป็นต้น

 

นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 บริษัทยังคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับลด ค่าใช้จ่ายการใช้พลังงานเชื้อเพลิงต่างๆ พร้อมกับติดตั้งโซลาร์รูฟ รวมถึงการเปลี่ยนการใช้พลังงานจากก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มาเป็นเชื้อเพลิงเป็นก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นอกจากนี้ยังมีแผนปรับปรุงโรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ขณะที่บริษัทร่วมทุนในเมียนมายังได้รับปัจจัยกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยนเพราะการขายเป็นสกุลเงินจัตเมียนมา ซึ่งมีความผันผวน แต่อย่างไรก็ตามประเมินว่าตลาดในประเทศเมียนมายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

 

นอกจากนี้บริษัทยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนโซลาร์ฟาร์มในต่างประเทศที่ยังไม่มีโครงการดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ในแถบประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างเสถียรภาพ การเติบโตให้แก่ธุรกิจ หลังจากธุรกิจเหล็กมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะเข้าลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น

 

incestporn.cc